ดูหนังใหม่ 2024 หนังออนไลน์ ดูหนังฟรี HD หนังเต็มเรื่อง Netflix

ดูหนัง The Road (2009) เดอะโร้ด ข้ามแดนฝ่าอำมหิต

เรื่องย่อ

เป็นโลกหลังสันทราย หลายปีหลังจากเหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลให้เกิดการสั่นไหวบ่อยๆ ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายเพิ่มเติมได้ โลกเป็นสีเทาและกลายเป็นสีเทาอย่างรวดเร็วเมื่อสิ่งต่างๆ หายไปมากขึ้นเรื่อยๆ ชายคนหนึ่งและลูกชายวัยก่อนวัยรุ่นซึ่งเกิดหลังวันสิ้นโลกกำลังอยู่บนท้องถนน มีแผนจะเดินไปที่ชายฝั่งและมุ่งหน้าลงใต้ซึ่งชายผู้นี้หวังว่าจะมีสภาพแวดล้อมที่น่าอยู่มากขึ้น ชายคนนี้ได้สอนลูกชายของเขาว่าพวกเขาเป็น “คนดี” ที่มีไฟในใจ ซึ่งส่วนใหญ่แล้วพวกเขาจะไม่หันไปกินเนื้อคนเพื่อความอยู่รอด ชายผู้นี้เป็นเจ้าของปืนพกที่มีกระสุนเหลืออยู่สองนัด ซึ่งเขาจะใช้ในการฆาตกรรม/ฆ่าตัวตายของเขาและลูกชายของเขา ถ้าเขารู้สึกว่านั่นเป็นชะตากรรมที่ดีสำหรับพวกเขามากกว่าชีวิตในทางเลือกอื่น อาหารและเชื้อเพลิงเป็นของที่ทุกคนมองหา ชายคนนี้สอนลูกชายให้เป็นผู้ต้องสงสัยในทุกคนที่พบเจอ  The Road  คนแปลกหน้าเหล่านี้อาจไม่เพียงแต่พยายามขโมยสิ่งที่พวกเขาสามารถหามาได้เพื่อเอาชีวิตรอดเท่านั้น แต่ยังอาจฆ่าพวกเขาเป็นอาหารได้อีกด้วย แม้ว่าชีวิตกับพ่อของเขาในโลกนี้จะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่เด็กรู้จัก แต่เขาอาจคิดขึ้นมาเองว่าการเป็นคนดีหรือคนชั่วในภาพรวมหมายความว่าอย่างไร ในขณะเดียวกัน ผู้ชายก็มีความคิดที่จะมีความสุขมากขึ้นในช่วงเวลาที่มีภรรยา/แม่ของเด็กชายก่อนวันสิ้นโลก เช่นเดียวกับเวลาที่ไม่มีความสุขกับเธอหลังจากการเปิดเผยและเหตุผลที่เธอไม่ได้อยู่กับพวกเขาอีกต่อไป

ผู้กำกับ

• John Hillcoat

บริษัท ค่ายหนัง

• 2929 Productions

นักแสดง

• Viggo Mortensen
• Kodi Smit-McPhee
• Robert Duvall
• Guy Pearce
• Charlize Theron
• Molly Parker
• Garret Dillahunt

โปสเตอร์หนัง

รีวิว

กลางแปลง

เป็นเวลาสิบกว่าปีแล้วที่โลกถูกทำลายย่อยยับโดยอะไรบางอย่างที่ไม่มีใครบอกได้ ไม่มีต้นไม้ใบหญ้า ไม่มีอาหาร ไม่มีพลังงาน พ่อ (วิกโก มอร์เทนเซ่น) และ ลูก (โคดี้ สมิท-แมคฟี) คือ ผู้ที่เหลือรอด ทั้งสองก้าวต้องไปบนเส้นทางซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นถนนสายหลักของอเมริกาเพื่อมุ่งหน้าสู่มหาสมุทร และต้องหาทางซ่อนตัวอยู่ในป่า เพื่อหนีจากคนที่จะมาแย่งชิงทรัพย์สินของพวกเขาไป คนพวกนั้นคือแก๊งข้างถนนที่เป็นทั้งนักล่าและพวกมนุษย์กินคน ทั้งสองต้องหาทางอยู่รอดจากโลกที่ล่มสลายใบนี้ ความคิดเห็นส่วนตัว : The Road  หนังปี 2009 ที่นำพาเราเป็นเพียงผู้ติดตามการเดินทาง การเอาตัวรอดของคู่พ่อลูก ในสถานะเพียงผู้เฝ้ามอง ชอบความล่มสลายของโลก ที่หนังทำออกมาได้ดี แม้ว่ามันอาจไม่ได้มีความตื่นเต้นอะไรมากมาย แต่มันกับทำให้รู้สึกพอดี กับการใช้วิธีการเล่าเรื่องที่มีตัวละครนำ แค่2คน หนังใช้โทนสีเทา ยิ่งช่วยเพิ่มความรู้สึกเคว้งคว้าง ไร้หนทาง การใช้ชีวิตที่ต้องเอาตัวรอดจากความสิ้นหวัง ความกดดันจากความสูญสิ้น หนังพยายามสร้างแรงศรัทธาความเชื่อการหาหนทาง เพื่อช่วยเป็นแรงขับเคลื่อนและเป็นเชื้อไฟให้กับการก้าวเดินเพียงลำพังได้อย่างงดงาม แม้ว่ามันต้องใช้เวลาหลังจากความสูญเสีย

หมื่นทิพ

พ่อลูกคู่หนึ่ง (Viggo Mortensen และ Kodi Smit-McPhee) เดินท่อมๆ ผจญภัยไปในโลกหลังเกิดวิกฤตการณ์ครั้งใหญ่ จนโลกนี้แทบไร้ชีวิต เหลือแต่ความโหดร้ายและยากเข็ญ… ใช่ครับ นั่นคือเรื่องราวทั้งหมดของหนัง ตัวหนังอาจไม่มีอะไรซับซ้อน แต่หนังแบบนี้มีความดีไม่ใช่น้อยเลยล่ะครับ ถ้าพูดถึงความน่าดูของหนังก็ต้องแล้วแต่ความชอบล่ะครับว่า เราชอบแนวนี้ไหม แนวที่มีตัวละครน้อยๆ เดินท่องไปในทุ่งไร้ชีวิต เจอคนดีบ้าง หนีคนร้ายบ้าง เห็นภาพโหดร้ายในโลกยุคที่ผู้คนต่างก็คิดจะเอาตัวรอด ตามด้วยบทสรุปที่จบแบบเตรียมเริ่มต้นไปสู่เรื่องราวใหม่ต่อไป หนังแบบนี้ดาราสำคัญนะครับ และดีที่จุดนี้ไม่ทำให้ใครต้องผิดหวัง ดาราอย่าง Viggo Mortensen แสดงได้ดี จริงๆ ตอนแรกผมก็เฉยๆ นะครับ แต่พอดูๆ ไปจนถึงบทสรุปลงท้าย ผมรู้สึกแบบเต็มๆ เลยว่านายคนนี้คือพ่อขนานแท้ เป็นพ่อที่ยอดเยี่ยมอีกต่างหาก ทั้งดูอบอุ่นโอบอ้อม และรักลูกอย่างมากมาย ส่วน Kodi Smit-McPhee ก็ไปได้ดีกับบทเด็กน้อยในโลกที่โหดร้าย ดูไปก็ให้เห็นใจครับที่เด็กตัวน้อยๆ ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้

ดาราสมทบที่มาโผล่คนละนิดละหน่อยอย่าง Robert Duvall, Charlize Theron และ Guy Pearce ก็ดีหมดครับ ไม่ได้มาเพื่อขโมยซีน แต่มาเพื่อเติมเต็มเรื่องราวให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ผมชอบตอนจบนะครับ ยิ่งดนตรีอบอุ่นมาตบปิดท้ายในช่วง End Credits นี่ได้อารมณ์อย่างแรง ทำให้รู้สึกเลยว่าหนังที่เหมือนจะว่างเปล่าเรื่องนี้ ไม่ได้ว่างเปล่าอย่างที่เราเห็น ดูไปอาจเห็นว่าหนัง “โล่ง ว่าง” เหมือนฉากต่างๆ ที่รกร้างไม่มีอะไร แต่เนื้อในของหนังนั้น “เต็ม อิ่ม” กำลังเหมาะทีเดียว นี่ไม่ใช่หนังแอ็คชันนะครับ ไม่ใช่หนังสยองที่เน้นระทึกขวัญด้วย แต่เป็นหนังชีวิตหลังวันโลกแตก ที่ซึ่งชีวิตต้องดำเนินต่อไป คนที่มีชีวิตอยู่ก็พยายามเอาตัวรอดด้วยวิธีต่างๆ คนที่ไม่ดีก็แสดงความเห็นแก่ตัวออกมาชัดเจน ส่วนคนดีก็อาจโดนกดดันเปลี่ยนเป็นคนไม่ดีได้เช่นกัน และเราก็ไม่อาจไว้ใจใครได้ด้วย… โลกแบบนั้นอยู่แล้วคงเครียดน่าดูล่ะครับ

ดูแล้วสะกิดใจให้เราอยากทำอะไรสักอย่าง ที่จะช่วยให้โลกไม่เกิดวิกฤติเลวร้าย ไม่ให้ธรรมชาติถูกทำลาย ไม่ให้ความตายเข้าครอบคลุมผืนโลกทุกหย่อมหญ้าแบบนี้ แน่นอนล่ะครับว่า หากเราจะทำอะไรสักอย่าง ก็คงต้องเริ่มจากตัวเองที่ต้องไม่ว่าจะการช่วยดูแลโลก และช่วยขัดเกลาตนเองให้ทำดีต่อคนอื่น ยุติการแพร่เชื้อ “ความเห็นแก่ตัว” ให้ลดลง แล้วหันมาสร้างอนาคตที่เต็มไปด้วย “คนเห็นแก่กัน” ให้มากขึ้น เพราะหากจะว่าไปแล้ว โลกทุกวันนี้แม้จะยังไม่ถึงขั้นหายนะเท่าในหนัง แต่เราก็เห็นแววหลายๆ อย่างที่น่าคิดแล้วนะครับ ว่าคนจำนวนไม่น้อยเอาเปรียบกัน เอาแต่ประโยชน์ตนเป็นหลัก หรือไม่ก็ฟังกันน้อยลงแล้วเถียงกันมากขึ้น จริงครับที่หลายครั้งสถานการณ์อาจพาไปให้เราเป็นเช่นนั้น มันอาจทำให้เราจำต้องเปลี่ยน แต่อย่างน้อยเราเองก็พอจะควบคุมทิศทางการเปลี่ยนนั้นได้บ้าง เลือกได้บ้างว่าจะเปลี่ยนให้เป็น “บวก” หรือเปลี่ยนให้เป็น “ลบ” ส่วนหนึ่งก็ขึ้นอยู่กับเรานี่แหละ

นอกจากนั้นธีมหลักสำคัญของหนัง ก็หนีไม่พ้นความรักระหว่างพ่อกับลูก ที่แม้ผมว่าพระเอกเป็นพ่อที่เก่งนะ สามารถเลี้ยงดูปกป้องลูกให้ลูกเป็นคนดีได้แบบตลอดรอดฝั่ง เพราะเลี้ยงลูกไม่ใช่เรื่องง่ายครับ ยิ่งในสถานการณ์แบบนี้ยิ่งไม่ง่าย เพราะพ่อต้องปกป้องลูก ต้องทำให้ลูกรอด แต่ขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องโหดไปตามสภาวะ อย่างเมื่อเจอคนมาจ่อปืน  The Road  หรือเจอคนที่ไม่อาจไว้ใจได้ ซึ่งตลอดเวลาพ่อคนนี้ก็คิดเสมอครับว่าแต่จะทำอยู่ในโลกนี้อย่างไร จะรับมือกับเรื่องพวกนี้อย่างไร ถึงจะไม่ให้ลูกกลายเป็นคนโหดร้าย กลายเป็นคนที่หวาดระแวงและไม่มีความสุขเมื่อพวกคนไม่ดีเหล่านั้น แต่ยังดีครับที่คุณพ่อคนนี้ (หนังไม่บอกชื่อแซ่เลยครับว่าใครชื่ออะไร) เป็นพ่อที่พยายามจะสอนลูกครับ ดังนั้นเขาจึงพยายามบอกลูก สอนลูกให้มากครั้งที่สุดในยามที่เขาจำเป็นต้องทำอะไรที่โหดร้ายหรือดูรุนแรงต่อหน้าลูก คนที่ต้องรักษาความเป็นพ่อที่ดีในโลกที่เต็มไปด้วยเพชฌฆาตนั้น ต้องใช้ความอดทนและใช้พลังอย่างมากทีเดียว แต่เขาคนนี้ก็ทำได้เพื่อลูกครับ

ทำไมเรายังไม่ดู

คะแนนรีวิว : 8/10
เดอะโร้ด ข้ามแดนฝ่าอำมหิต ต้องบอกก่อนว่าหนังเรื่องนี้ไม่มีฉากแอคชั่น และไม่มีผีหรือซอมบี้ ที่จะดูแล้วเอามันส์ ยิงกันตู้มๆ ระเบิด เพราะหนังเรื่องนี้มีแต่ ความหดหู่ ความเศร้า สิ้นหวัง กดดัน ความสงสาร ลุ้นระทึก ตั้งแต่ฉากแรกจนฉากสุดท้ายของหนัง แต่มันก็ไม่ได้เป็นหนังที่น่าเบื่อ ชวนหลับสักทีเดียว หนังอาจจะไม่ค่อยดัง หรือเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่(มั้ง) ซึ่งผมก็เห็นผ่านๆตามาสักพักแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ดูสักที วันนี้เลยเอามาแนะนำกัน เป็นหนังอีกเรื่องที่น่าค้นหา หนังดีๆไม่ควรให้ผ่านไปครับ.. ตัวหนังกล่าวถึงครอบครัวๆนึง ที่อยู่มาวันหนึ่งได้เกิดภัยพิบัติ และทุกสิ่งทุกอย่างก็หายไป ตื่นขึ่นมาแล้วพบว่า โลกหรือที่ๆ พวกเขาอยู่ถูกทำลายย่อยยับ ไม่มีแม้กระทั้งสัตว์ ที่พัก อาหาร หรือน้ำดื่ม อากาศหนาวเย็น พวกเขาต้องออกเดินไปทางใต้ เพื่อเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์ครั้งนี้ หนังเล่าเหตุการณ์เกี่ยวกับการใช้ชีวิตของสองพ่อลูก ที่ต้องป้องกันตัวเองเพื่อความอยู่รอด จากกลุ่มคนที่เหลือรอดชีวิตด้วยกัน เพื่อแย่งชิงอาหาร และอาวุธ ระหว่างทางทั้ สองต้องเจออะไรมากมาย ทั้งคนดี คนไม่ดี คนเร่ร่อน ขโมย และสองพ่อลูกเอาตัวรอดมาได้ยังไง อยากให้ลองไปหาดูกัน

RichardSRussell

8/10

คำพูดแรกๆ ใน The Road (ดัดแปลงจากนวนิยายของ Cormac McCarthy) คือ “มันก็แค่แผ่นดินไหวอีกครั้ง” ซึ่งนั่นควรจะช่วยปลอบใจได้ เป็นโลกหลังหายนะที่หดหู่ พังทลาย และถูกชะล้างทุกอย่างออกไป ไม่ว่าจะเป็นสีสัน เสียง ชื่อ แสงแดด ความอบอุ่น ความสุข ความหวัง ชาย (Viggo Mortenson) และเด็กชาย (Kodi Smit-McPhee) เคลื่อนตัวช้าๆ และเจ็บปวดไปยัง “ชายฝั่ง” ซึ่งบางทีสิ่งต่างๆ อาจจะดีขึ้นเล็กน้อย ใครจะไปรู้ล่ะ แต่มีอะไรอีกล่ะ ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับสมาชิกแก๊ง (Garret Dillahunt ซึ่งยังคงน่าขนลุกและน่ากลัวเหมือนใน The Sarah Connor Chronicles และ The Last House on the Left), หัวหน้าแก๊งข้างถนน (Brenna Roth), ชายชรา (Robert Duvall), หัวขโมย (Michael K. Williams), และทหารผ่านศึก (Guy Pearce) กับภรรยา (Molly Parker) ในภาพย้อนอดีตชีวิตในอดีตที่สูญเสียไปอย่างเจ็บปวด เราได้เห็นภรรยา (Charlize Theron) และจริงๆ แล้ว เมื่อคุณเอ่ยชื่อพวกเขาแล้ว คุณก็ครอบคลุมภาพยนตร์เรื่องนี้ได้ค่อนข้างดี ชื่อของเกมคือการเอาตัวรอด แม้ว่าจะไม่มีใครบอกได้ว่าจุดประสงค์ของเกมคืออะไร อาหารหมดลง และเห็นได้ชัดว่าจะไม่มีการเจริญเติบโตอีกต่อไป มนุษย์เป็นสัตว์เพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่รอดชีวิตจากภัยพิบัติระดับโลกที่ไม่ได้รับการตั้งชื่อนี้ ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นแหล่งโปรตีนเพียงแหล่งเดียวที่เหลืออยู่และกำลังลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว

เสียงที่คุณได้ยินใกล้เข้ามาไม่ใช่เสียงของสภากาชาด The Road  บางคนเลือกที่จะไม่เล่น หลังจากค้นหาจิตวิญญาณด้วยพลังงานต่ำ ภรรยาก็เลือกเส้นทางของชาวเอสกิโมโบราณ “เธอจากไปแล้ว” ชายชราเล่า “และความเย็นชาของมันคือของขวัญสุดท้ายของเธอ” คนอื่นๆ อดทนต่อไปโดยไม่มีเหตุผลที่น่าเชื่อ “คุณเคยอยากตายไหม” ชายชราถาม “ไม่” ชายชราตอบ “เป็นเรื่องโง่เขลาที่จะขอสิ่งฟุ่มเฟือยในช่วงเวลาเช่นนี้” ชายชราและเด็กชายมีปืน 1 กระบอกพร้อมกระสุนเหลืออยู่ 2 นัด พวกเขาไม่ได้สงวนไว้สำหรับมือปืนที่อาจก่อเหตุได้ ในฉากที่น่าเจ็บปวดที่สุดบางฉากของภาพยนตร์ เราได้เห็นชายชราอธิบายไม่เพียงแค่ว่าต้องทำอะไรแต่ยังรวมถึงเหตุผลด้วย ฉันเดินเข้าไปในภาพยนตร์เรื่องนี้ 10 ชั่วโมงหลังจากออกจากโรงภาพยนตร์ ซึ่ง Avatar สาดสี การเคลื่อนไหว กิจกรรม จุดประสงค์ มิติที่สาม และเสียงประกอบที่ยอดเยี่ยมไปทั่วหน้าจอ เป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงภาพยนตร์อีก 2 เรื่องที่แตกต่างกันในแง่ของโทนและบรรยากาศ แต่ทั้งสองเรื่องมีประสิทธิภาพอย่างมากในการทำให้โลกของแต่ละเรื่องดูเหมือนจริงอย่างสมบูรณ์ หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่หดหู่และน่าเชื่อถืออย่างไม่ลดละ ไม่หักโหมหรือขายตัว หนังเรื่องนี้จะหลอกหลอนคุณ ไม่น่าจะมีใครสร้างหนังที่เล่าเรื่องการสิ้นสุดของโลกอย่างสมจริงเช่นนี้อีก ดังนั้น หากคุณต้องการดูมาตรฐานที่หนังเรื่องอื่นๆ จะถูกนำไปเปรียบเทียบกับหนังเรื่องอื่นๆ นี่คือโอกาสของคุณ

ภาพยนตร์ที่คล้ายกัน

127 Hours (2010) 127 ชั่วโมง

Alive (2020) คนเป็นฝ่านรกซอมบี้

Apt Pupil (1998) พลิกหลักสูตรมรณะ

Chaos Walking (2021) จิตปฏิวัติโลก

Left Behind Rise of the Antichrist (2023)