เรื่องย่อ : Sinners (2025) ซินเนอร์ส ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี NungHD หนังเต็มเรื่อง พากย์ไทย ซับไทย ดูหนังใหม่ 2024
ในปี 1932 ฝาแฝดเหมือนกันและ ทหารผ่านศึก สงครามโลกครั้งที่ 1 Smoke and Stack กลับมาที่มิสซิสซิปปี้เดลต้าหลังจากทำงานให้กับกลุ่มมาเฟียในชิคาโกมาหลายปี พวกเขาใช้เงินที่ขโมยมาจากกลุ่มมาเฟียเพื่อซื้อโรงเลื่อยจากเจ้าของที่ดินที่เป็นคนเหยียดผิวชื่อ Hogwood เพื่อเปิดร้านขายเหล้าสำหรับชุมชนคนผิวสีในท้องถิ่น แซมมี่ ลูกพี่ลูกน้องของพวกเขาซึ่งเป็นนักกีตาร์ที่ใฝ่ฝันเข้าร่วมกับพวกเขา แม้จะได้รับการคัดค้านจากพ่อที่เป็นบาทหลวง ซึ่งเตือนว่า ดนตรี บลูส์เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ ฝาแฝดรับพนักงานคนอื่นๆ ได้แก่ นักเปียโนเดลต้า สลิม และนักร้องเพิร์ลลีน (ซึ่งแซมมี่หลงรัก) มาเป็นนักแสดง แอนนี่ ภรรยาที่แยกทางกับสโมคเป็นพ่อครัว เกรซและโบ เจ้าของร้านค้า ชาวจีนในท้องถิ่นเป็นซัพพลายเออร์ และคอร์นเบรด พนักงานภาคสนามเป็นการ์ด ในระหว่างนั้น สแต็กกลับมาติดต่อกับแมรี่ อดีตแฟนสาวของเขา ซึ่งแสร้งทำเป็นขาวแมรี่ไม่พอใจสแต็กที่ทิ้งเธอไปเมื่อเขาออกเดินทางไปชิคาโก สโมคและแอนนี่เถียงกันเรื่องความเชื่อเรื่องไสยศาสตร์ของเธอ ขณะที่แอนนี่ยืนกรานว่าการปฏิบัติของเธอทำให้ฝาแฝดปลอดภัย แต่สโมคเตือนเธออย่างขมขื่นว่าลูกสาววัยทารกของพวกเขายังคงเสียชีวิต ที่อื่น เรมมิก แวมไพร์ผู้อพยพชาว ไอริช หลบหนีจาก นักล่าแวมไพร์ชาว โชกทอว์ และเปลี่ยนสมาชิก คูคลักซ์แคลนในท้องถิ่นสองคนให้ กลาย เป็นแวมไพร์ อย่างรุนแรง
ภาพยนตร์เรื่อง เป็นผลงานการกำกับเรื่องล่าสุดของ Ryan Coogler ซึ่งโด่งดังเป็นพลุแตกจากผลงานฟอร์มยักษ์เรื่อง Black Panther ทั้ง 2 ภาค แต่โดยส่วนตัวแล้ว Ryan Coogler สร้างความประทับใจให้กับผมในผลงานเรื่อง Creed มากกว่าครับ โดยใน Sinners เจ้าตัวได้กลับมาร่วมงานกับนักแสดงอย่าง Michael B. Jordan อีกครั้ง และนับเป็นภาพยนตร์แนวสยองขวัญเรื่องแรกของทั้งคู่อีกด้วยครับ ผมรู้สึกสนใจภาพยนตร์เรื่อง Sinners ตั้งแต่ได้เห็นตัวอย่างภาพยนตร์เป็นครั้งแรก เนื่องจากสิ่งที่ปรากฏอยู่บนจอนั้นเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งความลึกลับและไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ หากแต่มันกลับกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็น พร้อมทั้งสอดแทรกกลิ่นอายของความสยองขวัญลงไปในตัวอย่างได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ แม้ว่าตัวอย่างภาพยนตร์ตัวที่ 2 จะระบุชัดเจนว่าภัยคุกคามของภาพยนตร์นั้นคือแวมไพร์กลุ่มหนึ่ง แต่ Ryan Coogler เองก็ได้ออกมาให้สัมภาษณ์อยู่บ่อยครั้งครับว่า ตัวเขาเองไม่ได้มอง ว่าเป็นภาพยนตร์แวมไพร์โดยตรง เนื่องจากภาพยนตร์มีเนื้อหาที่ต้องการบอกเล่ามากกว่านั้นรอคอยผู้ชมอยู่ครับ ซึ่งหลังจากได้รับชมจบแล้วผมก็พบว่ามันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ครับ เพราะ Sinners คือภาพยนตร์ที่หักล้างทุกความคาดหวังของผู้ชม และพาตัวเองไปไกลในทิศทางที่ผมไม่คิดว่ามันจะไปครับ
ว่ากันตามตรงแล้ว Sinners ไม่ใช่ภาพยนตร์แวมไพร์ที่ขายความสยองขวัญหรือฉากแอ็กชั่นนะครับ หรือว่าง่ายๆ หากใครที่คาดหวังจะได้รับความบันเทิงแบบเต็มสูบ กระหน่ำความฉูดฉาดของเรื่องราวตั้งแต่ต้นจนจบ หนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นแบบนั้นครับ โดยภาพยนตร์นั้นแบ่งตัวเองออกเป็น 2 ครึ่งอย่างชัดเจน ในครึ่งแรกนั้นเป็นการพาผู้ชมไปทำความรู้จักกับตัวละคร และคลุกคลีไปกับวิถีชีวิตประจำวันของพวกเขา ผ่านการเดินทางกลับสู่บ้านเกิดของสโมคและสแต็ก ฝาแฝดผู้ต้องการจะกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ด้วยการเปิดสถานบันเทิงขนาดใหญ่สำหรับคนดำในท้องที่ ในระหว่างทาง ภาพยนตร์ได้ทำการสอดแทรกเรื่องราวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของคนดำเอาไว้ในทุกรายละเอียด ทั้งร่องรอยของการเป็นทาส, ความหวาดกลัวต่อกลุ่มคูคลักซ์แคลน, การใช้ชีวิตภายใต้กฎหมายจิม โครว์ รวมถึงบทบาทสำคัญของศาสนาและเพลงบลูส์ ซึ่งเป็น 2 ปัจจัยหลักที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมของคนผิวดำครับ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าภาพยนตร์เรื่อง Sinners เล่าเรื่องราวที่ครอบคลุมเวลา 1 วันเต็มๆ โดยกว่าที่ผู้ชมจะเดินทางมาถึงสถานบันเทิงของสโมคและสแต็ก ภาพยนตร์ก็ได้ผ่านเวลาไปกว่า 1 ชั่วโมงแล้ว และเมื่อพระอาทิตย์ลับฟ้า ภาพยนตร์ก็ได้พลิกโทนของตัวเองเข้าสู่การเป็นภาพยนตร์ระทึกขวัญในสถานที่ปิด หรือเรียกได้ว่าเป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งอย่างสิ้นเชิงครับ แต่สิ่งที่ถูกใช้เพื่อเชื่อมโยงทั้ง 2 ครึ่งเข้าด้วยกันก็คือบทเพลงบลูส์ ซึ่งถูกใช้งานทั้งในเชิงสัญลักษณ์เพื่อสื่อสารถึงประเด็นที่ตัวหนังต้องการ และในเชิงของเงื่อนไขการเล่าเรื่อง เพื่อเปิดทางให้กับแวมไพร์ได้กลายเป็นภัยคุกคามหลักของภาพยนตร์ครับ
หากมองในภาพใหญ่แล้วความขัดแย้งหลักของจะมาจากการคุกคามของแวมไพร์ก็จริง แต่ภาพยนตร์กลับเดินเรื่องอย่างกล้าหาญ ด้วยการถ่ายทอดความเป็นมนุษย์ให้กับเรื่องราวเป็นสำคัญครับ กล่าวคือไม่ว่าผู้ชมจะมองเรื่องราวผ่านตัวละครไหน มันก็จะมีแก่นสารในตัวเองอย่างชัดเจน เช่น เส้นเรื่องของตัวละครหลักอย่างสโมคและสแต็กนั้นว่าด้วยการเดินทางกลับบ้าน, การไถ่บาป และการเริ่มต้นชีวิตใหม่ หรือตัวละครรองอย่างแซมมี่ มัวร์ ก็บอกเล่าเรื่องราวของการเลือกเส้นทางชีวิตของตัวเอง, การไขว่คว้าความฝัน และการเป็นผู้สืบทอดวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น เป็นต้น ไม่เพียงแต่ประเด็นที่เกี่ยวโยงกับตัวละครเท่านั้น หากแต่สถานการณ์ทั้งหมดของเรื่องยังสามารถขบคิดตีความ และถอดนัยออกมาเป็นประเด็นต่างๆ ได้อย่างไม่รู้จบ อาทิเช่น การรับมือกับความเจ็บปวดและการสูญเสีย, อิสรภาพที่ไม่มีจริงของคนดำ หรือความสำคัญเชิงประวัติศาสตร์ของเพลงบลูส์ เป็นต้นครับ การที่ภาพยนตร์ยอมใช้เวลากว่าครึ่งเรื่องในการปูสิ่งเหล่านี้ให้กับเรื่องราว แน่นอนครับว่ามันแลกมากับจังหวะการเล่าเรื่องที่เชื่องช้าหากเทียบกับภาพยนตร์ที่เน้นความบันเทิงจากเมนสตรีม แต่สิ่งที่ได้มาก็คือความมีชีวิตชีวาและความเป็นมนุษย์ของทุกตัวละคร ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากต่อเรื่องราวในครึ่งหลัง อันเต็มไปด้วยการระเบิดความบ้าคลั่งและการนองเลือดอย่างไม่บันยะบันยัง ซึ่งสามารถมอบความบันเทิงที่ผู้ชมเฝ้ารอตั้งแต่ต้นเรื่องได้อย่างเต็มอิ่มและสาแก่ใจ นอกเหนือจากนั้นแล้วมันยังเป็นการชะล้างรอยแผลทางประวัติศาสตร์อันชวนให้ผู้ชมตั้งคำถามถึงความหมายในการมีชีวิตอยู่ของตัวเองได้อีกด้วยครับ
อีกหนึ่งสิ่งที่น่าชื่นชมสำหรับภาพยนตร์เรื่อง Sinners ก็คือความเป็นภาพยนตร์ของมันครับ กล่าวคือหากเนื้อหาของไปอยู่ในฟอร์แมตอื่น เช่น หนังสือการ์ตูน, เรื่องสั้น หรือนวนิยายก็ตาม ผู้ชมจะไม่สามารถดื่มด่ำและได้รับสุนทรียภาพอย่างเต็มที่อย่างที่ควรจะได้รับ เพราะผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง Ryan Coogler สามารถใช้ทั้งภาพและเสียงเป็นเครื่องมือทางการสื่อสารได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ไล่มาตั้งแต่การกำกับภาพและการเคลื่อนกล้องที่สามารถกำหนดอารมณ์ของผู้ชมได้อย่างเชี่ยวชาญ, การออกแบบฉากที่สามารถเนรมิตบรรยากาศของรัฐมิสซิสซิปปีในช่วงปี 1932 ได้อย่างสวยงามหมดจด, ประโยคสนทนาที่มีความเป็นธรรมชาติและบอกเล่าตัวตนของตัวละครได้อย่างชัดเจน, การใช้เทคนิค Jump Scare เพื่อกระตุกขวัญและกำหนดโทนของภาพยนตร์ตั้งแต่ต้นเรื่อง
และชัดเจนที่สุดก็คือเสียงเพลงที่ดังก้องอยู่ในแทบฉากของเรื่อง มันเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังงานและมนต์สะกดที่ทำให้ผู้ชมคล้อยตามไปกับจังหวะการเล่าเรื่อง ที่แม้ว่าบางช่วงบางตอนภาพยนตร์อาจจะไม่ได้เดินหน้ามากนัก แต่ผู้ชมไม่สามารถพูดคำว่าเบื่อออกมาได้เลยครับ เมื่อรวมกับการแสดงที่ดีของนักแสดงทุกคน โดยเฉพาะ Michael B. Jordan ที่รับบทเป็นฝาแฝดอย่างสโมคและสแต็ก เขาสามารถมอบบุคลิกที่แตกต่างกันให้กับแต่ละตัวละครได้ดี นอกจากนี้ตัวละครของเขายังต้องผ่านการเดินทางทางอารมณ์มากมาย ทั้งการเป็นหัวโจกผู้ห้าวหาญของชุมชน, ชายหนุ่มผู้เจ็บปวดกับบาดแผลจากการสูญเสีย, คนรักที่อ่อนโยนและโรแมนติก ไปจนถึงความหวาดกลัวสุดขีด และการเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแอ็กชั่นสตาร์ในช่วงองก์สุดท้าย การได้รับชมทุกอย่างที่กล่าวมานี้ในระบบ IMAX ทำให้ประสบการณ์การรับชมนั้นถูกยกระดับขึ้นอีกขั้น ด้วยสเกลภาพขนาดพิเศษที่ใหญ่เต็มตา และระบบเสียงที่โอบล้อมผู้ชมเอาไว้รอบทิศทาง ทำให้งานศิลปะของ Ryan Coogler ได้แสดงศักยภาพที่ดีที่สุดของตัวเองแก่สายตาของผู้ชมครับ
สุดท้ายนี้ผมเชื่อว่าคอหนังทุกคนน่าจะเคยผ่านหูผ่านตาภาพยนตร์แวมไพร์มาหลายต่อหลายเรื่องแล้วล่ะครับ นั่นจึงทำให้เราคุ้ยเคยกับกฎเกณฑ์ต่างๆ ของแวมไพร์กันอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การใช้กระเทียมและน้ำมนต์เป็นเครื่องป้องกัน, การใช้ของแหลมแทงทะลุถึงหัวใจ, แวมไพร์ไม่สามารถสัมผัสแสงแดดได้ หรือการที่แวมไพร์ไม่สามารถเข้าพื้นที่ของเหยื่อได้หากไม่ได้รับคำเชิญก่อน หากแต่กฎเกณฑ์เหล่านี้ได้ถูกหยิบยกมาใช้อย่างชาญฉลาดในภาพยนตร์ อันนำมาซึ่งฉากแอ็กชั่นอันแสนบ้าดีเดือดในช่วงองก์สุดท้าย แต่ภาพยนตร์นั้นเป็นมากกว่าแค่ภาพยนตร์แอ็กชั่นเหนือธรรมชาติทั่วไปครับ หากแต่มันคือการจำลองภาพของประวัติศาสตร์อเมริกาขนาดย่อม ผ่านมุมมอง, วิสัยทัศน์ และภาษาภาพยนตร์อันมีศิลปะของ Ryan Coogler ซึ่งไม่เพียงแต่ย้ำเตือนกับผู้ชมว่าความเจ็บปวดชอกช้ำจากอดีต ยังคงถูกส่งต่อและคงเหลือร่องรอยอยู่ในสังคมปัจจุบันเท่านั้น แต่การมาถึงของภาพยนตร์เรื่องเป็นการเฉลิมฉลองคุณค่าของภาพยนตร์ Original ท่ามกลางอุตสาหกรรมที่เต็มไปด้วยผลงานภาคต่อและแฟรนไชส์ชื่อดังมากมาย ซึ่งเป็นการบอกกับผู้ชมว่าไอเดียต้นฉบับนั้นยังคงเป็นสิ่งที่วงการนี้ต้องการ แม้ว่ามันจะหาได้ยากมากขึ้นทุกทีก็ตามครับ
#ประเด็นตกผลึก ประเด็นตกผลึกในวันนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาสำคัญของภาพยนตร์ หากใครยังไม่ได้รับชมสามารถข้ามไปก่อนได้ครับ และประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Sinners ที่ผมจะชวนทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ วัฒนธรรมที่ถูกกลืนกิน และความเจ็บปวดที่ถูกฝังกลบ ผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง Ryan Coogler นั้นให้สัมภาษณ์ถึงภาพยนตร์เรื่อง อยู่บ่อยครั้งครับว่า ภัยคุกคามของเรื่องนั้นไม่ได้มีเพียงแค่แวมไพร์เพียงอย่างเดียว หลังจากได้รับชมจบแล้วผมจึงได้เข้าใจครับว่า เขาพูดถึงการล่าอาณานิคมและการกลืนกินวัฒนธรรมของคนดำโดยคนผิวขาว โดยภาพยนตร์นั้นมีฉากหลังอยู่ในปี 1932 ที่รัฐมิสซิสซิปปี ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่กฎหมายเลิกทาสมีผลบังคับใช้มานานหลายสิบปีแล้ว แต่คนผิวดำก็ยังคงต้องทำงานอยู่ในไร่ฝ้าย โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้รับเงินค่าจ้างเป็นสกุลดอลลาร์ด้วยซ้ำ หากแต่พวกเขากลับได้รับเหรียญไม้ซึ่งสามารถใช้งานได้ในวงที่แคบกว่ามาก นอกจากนี้พวกเขายังถูกกดทับจากความไม่เท่าเทียมทางสังคม ทั้งกฎหมายจิม โครว์ หรือกฎหมายที่แบ่งแยกสวัสดิการของคนผิวขาวกับคนผิวดำให้แตกต่างกันโดยชอบธรรม รวมถึงการมีอยู่ของกลุ่มคูคลักซ์แคลน ซึ่งเป็นกลุ่มคนผิวขาวหัวรุนแรงที่พร้อมจะสังหารคนผิวดำในทุกครั้งที่พบเห็น การต้องใช้ชีวิตท่ามกลางความหวาดกลัวและการถูกกดขี่ทางสังคม สิ่งที่รุ่มรวยขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมก็คือความเชื่อทางศาสนา และวัฒนธรรมของเพลงบลูส์นั่นเองครับ
ภาพยนตร์ได้สะท้อนปัญหาของการเหยียดผิวผ่านเรื่องราวการสร้างสถานบันเทิงของสโมคและสแต็ก โดยโรงเลื่อยไม้ที่พวกเขาซื้อ ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของแผนการสังหารหมู่คนดำของกลุ่มคูคลักซ์แคลน ขณะที่อีกตัวละครอย่างแซมมี่ มัวร์ก็กำลังตกอยู่ในภาวะสับสน เมื่อความเก่งกล้าสามารถและความฉกาจฉกรรจ์ในการเล่นดนตรีของเขาถูกจำกัดโอกาสในการไปถึงความฝัน เพียงเพราะสภาพสังคมในยุคสมัยนั้นไม่ได้เปิดกว้างให้กับคนดำอย่างเท่าเทียม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรื่องราวของเขาไปซ้อนทับกับนักดนตรีที่มีอายุมากกว่าอย่างเดลต้า สลิม อดีตทาสผู้เคยถูกบังคับให้บรรเลงบทเพลงบลูส์ที่เขาถนัด เพื่อใช้ฝีมือของเขาในการสร้างรายได้ให้กับเจ้านายที่เป็นคนขาว ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงคุณค่าของงานศิลปะและจิตวิญญาณของเพลงบลูส์ให้กลายเป็นสินค้าอย่างเห็นได้ชัด ประเด็นของเรื่องถูกถ่ายทอดอย่างจะแจ้งมากขึ้น ด้วยการมาถึงของตัวละครอย่างเรมมิก แวมไพร์ผิวขาวที่ต้องการบุกรุกคุกคามเข้ามาในสถานบันเทิงของทั้งสโมคและสแต็ก ซึ่งในมุมหนึ่งก็สะท้อนภาพของการล่าอาณานิคม พร้อมทั้งยังเหน็บแนมด้วยการให้เรมมิกเป็นผู้หยิบยื่นโอกาสและอิสรภาพให้กับคนผิวดำ ผ่านการกลืนกินเลือดเนื้อและตัวตนของเหยื่อด้วยวิธีการของแวมไพร์ ซึ่งอย่างที่รู้กันดีครับว่า การมีชีวิตอมตะของแวมไพร์เป็นดั่งกรงขังไม่ให้มนุษย์ได้หลุดพ้นตามอายุขัยของตัวเอง อีกทั้งยังถูกจองจำให้ใช้ชีวิตอยู่แต่ในความมืดยามค่ำคืน และไม่มีโอกาสได้เห็นแสงตะวันอีกเลยตลอดชีวิต
โดยภาพยนตร์สามารถหยิบเอาเงื่อนไขของแวมไพร์ ซึ่งไม่สามารถก้าวเท้าเข้าสู่เคหสถานของเหยื่อได้หากไม่ได้รับคำเชิญ มาใช้ในเชิงสัญลักษณ์ได้อย่างเฉียบคมครับ ว่ากันตามตรงแล้วกลุ่มตัวละครไม่ต้องการให้แวมไพร์บุกรุกเข้ามาทำอันตรายกับตัวเองฉันใด ความสงบสุขและวัฒนธรรมของคนดำก็ไม่ต้องการให้คนขาวย่างกรายเข้ามากลืนกินฉันนั้น หากแต่ด้วยความจำเป็นบางประการ ความชั่วร้ายก็ได้คืบคลานเข้ามาหาพวกเขาโดยไม่อาจหยุดยั้งได้ การคุกคามสถานบันเทิงของแวมไพร์ในเรื่องจึงคล้ายกับการระลึกถึงประวัติศาสตร์อันน่าเศร้าในอดีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อวัฒนธรรมอันมีชีวิตชีวาได้ถูกบิดเบือนและจำกัดการแสดงออก จนทำให้เส้นทางในการทำตามความฝัน หรือกระทั่งการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของคนดำนั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินจะฝันถึง โดยภาพยนตร์เลือกใช้เพลงบลูส์ให้เป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม ที่คอยเชื่อมโยงจิตวิญญาณของอดีต, ปัจจุบัน และอนาคตให้กลายเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งหากอ้างอิงจากข้อมูลตามแหล่งต่างๆ เพลงบลูส์นั้นเริ่มต้นมาจากการระบายความอึดอัดคับข้องจากคุณภาพชีวิตที่แสนเจ็บปวดจากการเป็นทาส แต่หากมองเพลงบลูส์ในยุคปัจจุบัน บทบันทึกอารมณ์ความรู้สึกในวันวาน ก็ได้กลายมาเป็นสินค้าในระบบทุนนิยมไปแล้วเรียบร้อย จึงกล่าวได้ว่าการมีอยู่ของภาพยนตร์เรื่อง Sinners คือการหวนรำลึกนึกถึงความเจ็บปวดจากอดีต ซึ่งเป็นเรื่องราวที่ไม่ควรถูกฝังกลบหรือถูกหลงลืม ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ
Forever Rich (2021) ฟอร์เอเวอร์ ริช
Fourever You (2024) เพราะรักนำทาง