เรื่องย่อ : Thunderbolts (2025) ธันเดอร์โบลต์ส ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี NungHD หนังเต็มเรื่อง พากย์ไทย ซับไทย ดูหนังใหม่ 2024
เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวซูเปอร์ฮีโรฉายใน ค.ศ. 2025 สร้างจากมาร์เวลคอมิกส์ โดยมีตัวละครหลักเป็นทีมธันเดอร์โบลต์ส ภาพยนตร์สร้างโดยมาร์เวลสตูดิโอส์ และจัดจำหน่ายโดยวอลต์ดิสนีย์สตูดิโอส์โมชันพิกเชอส์ ธันเดอร์โบลต์ส* เป็นภาพยนตร์เรื่องที่ 36 ในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวล (MCU) ภาพยนตร์กำกับโดย เจก ชไรเออร์ จากบทภาพยนตร์โดย เอริค เพียร์สัน และโจอันนา คาโล และแสดงนำโดย ฟลอเรนซ์ พิว, เซบาสเตียน สแตน, ไวแอตต์ รัสเซลล์, โอลกา คูรีเลนโก, ลูอิส พูลแมน, เจอรัลดีน วิศวนาธาน, เดวิด ฮาร์เบอร์, ฮันนาห์ จอห์น-คาเมน และจูเลีย หลุยส์-เดรย์ฟัส ในภาพยนตร์ กลุ่มธันเดอร์โบลต์สถูกจับในกับดักอันร้ายแรง และถูกบังคับให้ทำงานร่วมกันในภารกิจอันตราย
มาร์เวลสตูดิโอส์เริ่มกล่าวถึงการก่อตั้งทีมธันเดอร์โบลต์สภายในจักรวาลภาพยนตร์มาร์เวลเมื่อ ค.ศ. 2021 ภาพยนตร์ได้รับการเปิดเผยว่าอยู่ระหว่างการพัฒนาในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2022 โดยมีชไรเออร์และเพียร์สันมาร่วมงาน นักแสดงหลักของภาพยนตร์ได้รับการเปิดเผยในเดือนกันยายน ตามด้วยการคัดเลือกนักแสดงเพิ่มเติมจนถึงต้น ค.ศ. 2023 ลี ซุง จิน เข้าร่วมเพื่อเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2023 ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมงานสร้างสรรค์หลายคนที่กลับมาร่วมงานกับชไรเออร์ หลังจากร่วมงานในละครชุดของเน็ตฟลิกซ์เรื่อง บีฟ (2023–ปัจจุบัน) การสร้างมีความล่าช้าเนื่องจากข้อพิพาทด้านแรงงานในฮอลลีวูด 2023 ทำให้มีการคัดเลือกนักแสดงใหม่บางคนในต้น ค.ศ. 2024 คาโล เข้าร่วมเพื่อเขียนบทภาพยนตร์ใหม่ การถ่ายทำเริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์จนถึงมิถุนายน ค.ศ. 2024 ที่ไตรลิทสตูดิโอส์ และสตูดิโอแอตแลนตาเมโทร ในแอตแลนตา, จอร์เจีย มีการถ่ายทำที่ยูทาห์ และกัวลาลัมเปอร์
เรื่องราวของเหล่าฮีโร่รองบ่อน ได้แก่ เยเลน่า เบโลว่า, บัคกี้ บาร์นส์, เรด การ์เดียน, โกสต์, จอห์น วอล์คเกอร์ และแทคส์มาสเตอร์ ซึ่งกลายเป็นความหวังเดียวในการหยุดยั้งภัยคุกคามครั้งใหม่ที่กำลังจะทำลายโลกใบนี้ พวกเขาจึงต้องหาทางร่วมมือกันให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป #ความเห็น ท่ามกลางเหล่าตัวละครซูเปอร์ฮีโร่มากหน้าหลายตาของจักรวาล Marvel ผู้ชมถูกทำให้คุ้นชินกับภาพลักษณ์ของการเป็นบุคคลตัวอย่างของพวกเขา ซึ่งไม่เพียงแต่จะมีพลังและความสามารถพิเศษเป็นเอกลักษณ์เท่านั้น แต่โดยมากแล้วพวกเขามักจะสถาปนาและขึ้นรับตำแหน่งซูเปอร์ฮีโร่ด้วยคุณค่าที่ซ่อนอยู่ภายในมากกว่า แต่ภาพยนตร์เรื่อง Thunderbolts คือผลงานที่ต่างออกไปโดยสิ้นเชิงครับ กล่าวคือภาพยนตร์เลือกจะสาดแสงไฟไปยังกลุ่มตัวละครรองบ่อนที่ถูกมองข้ามของแฟรนไชส์ หรืออีกนัยหนึ่ง นี่คือการรวมตัวกันของคนที่เคยทำผิดพลาด, สร้างความเสียหาย, ถูกละเลยมองข้าม หรือกระทั่งเคยเป็นวายร้ายในจักรวาล Marvel มาก่อนด้วยซ้ำไป อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ Thunderbolts เป็นผลงานที่น่าจับตามองสำหรับผม คือการเลือกผู้กำกับภาพยนตร์อย่าง Jake Schreier มาบอกเล่าเรื่องราวครับ โดยผลงานก่อนหน้านี้ของเขาคือการกำกับซีรีส์เรื่อง Beef ซึ่งเป็นซีรีส์ที่สะท้อนความเป็นมนุษย์ของตัวละครออกมาได้อย่างชัดเจนที่สุดเรื่องหนึ่ง นอกจากนี้เจ้าตัวยังเปรยเอาไว้ว่า คือภาพยนตร์ที่จะสำรวจตัวละครลึกถึงระดับจิตใจ และจะทำให้ผู้ชมเข้าใจสิ่งที่ตัวละครเหล่านี้รู้สึกมากยิ่งขึ้น ถึงขนาดที่นักแสดงนำอย่าง Florence Pugh ยังเอ่ยปากด้วยตัวเองครับว่า เป็นเหมือนภาพยนตร์มือสังหารในสไตล์ของ A24 ซึ่งทำให้มันเป็นภาพยนตร์ที่น่าดูมากสำหรับผมครับ
จุดที่ภาพยนตร์ทำได้อย่างยอดเยี่ยม คือการจับกลุ่มกันของตัวละครที่ไม่เคยพบเจอกันมาก่อน พร้อมปรุงเคมีของพวกเขาให้เกิดเป็นไดนามิกที่น่าสนใจครับ โดยให้น้ำหนักไปที่ตัวละครอย่างเยเลน่า เบโลว่าเป็นสำคัญ พร้อมเลือกบอกเล่าช่วงเวลาที่ตัวละครกำลังเดินทางอย่างไร้จุดหมาย และไม่สามารถเติมเต็มช่องว่างภายในใจของตัวเองได้ ภารกิจของเยเลน่าได้นำพาให้เธอมาพบเจอกับบ็อบ อีกหนึ่งตัวละครที่ได้รับความสำคัญไม่แพ้กัน โดยแม้ว่าจะปรากฏตัวเป็นครั้งแรก แต่ภาพยนตร์ก็สามารถทำให้ผู้ชมหลงรักตัวละครนี้ และเชื่อในความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นระหว่างเขากับเยเลน่าได้สำเร็จ ขณะที่ตัวละครอื่นๆ แม้ว่าจะไม่มีบทบาทเด่นเท่ากับบ็อบและเยเลน่า แต่พวกเขาทุกคนต่างมีจุดร่วมด้วยกันอยู่หนึ่งข้อ นั่นคือการเป็นคนที่มีบาดแผลและกำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตด้านตัวตนอย่างรุนแรง ทุกตัวละครในกลุ่มธันเดอร์โบลต์สล้วนเป็นคนที่ไม่มีใครต้องการ พวกเขาต้องใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวและตั้งคำถามถึงคุณค่าของการมีอยู่ของตัวเองอยู่แทบจะตลอดเวลา รอยแผลเหล่านี้คือสิ่งที่ทำให้ตัวละครทุกคนมีเลือดเนื้อและจับต้องได้ ขณะที่ลักษณะนิสัยและวิธีคิดที่แตกต่างกันของพวกเขา ได้กลายเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างเคมีอันยอดเยี่ยมระหว่างตัวละคร ผ่านทั้งบทสนทนา, ฉากแอ็กชั่น และความตลกขบขันอย่างเป็นธรรมชาติของภาพยนตร์ เมื่อรู้ตัวอีกที ผู้ชมก็ได้หลงเสน่ห์ตัวละครขี้แพ้เหล่านี้ไปแล้วโดยไม่ทันตั้งตัวครับ นอกจากเคมีตัวละครที่ลงตัวแล้ว แก่นสารของภาพยนตร์เรื่อง Thunderbolts
เองก็น่าสนใจไม่แพ้กันครับ โดยเป็นการพาผู้ชมไปสำรวจความเปราะบางอันซับซ้อนของมนุษย์ และพูดถึงปัญหาสุขภาพจิตอย่างตรงไปตรงมาครับ ทุกความโดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงาของตัวละครนั้นถูกตีแผ่ผ่านภูมิหลังและความทรงจำที่เจ็บปวดที่สุดในชีวิตของพวกเขา ซึ่งภาพยนตร์ก็สามารถสร้างเงื่อนไขขึ้นมาเพื่อเล่าถึงเรื่องราวดังกล่าวได้อย่างชาญฉลาดมากๆ แม้ว่าจะมีเวลาให้ผู้ชมได้สำรวจความโศกเศร้าของตัวละครเพียงคนละไม่กี่นาที แต่ด้วยลีลาทางการเล่าเรื่อง รวมถึงเนื้อหาที่ถูกเขียนเอาไว้ได้อย่างคมคาย ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าอกเข้าใจถึงความเจ็บปวดและภาวะซึมเศร้าของตัวละครได้โดยไร้ข้อกังขา ข้อเท็จจริงที่ผู้ชมได้ค้นพบนั้นไม่ได้ลดทอนความผิดที่ตัวละครเคยก่อในผลงานเรื่องอื่นๆ แต่อย่างใดนะครับ เพราะหน้าที่ของข้อเท็จจริงเหล่านั้นไม่ใช่การฟอกขาวให้กับเหล่าวายร้ายของจักรวาล Marvel หากแต่เป็นการทำให้ผู้ชมเข้าใจถึงความเป็นมนุษย์ในตัวของพวกเขา และพร้อมเอาใจช่วยให้ทุกตัวละครเอาชนะด้านมืด และก้าวข้ามความโดดเดี่ยวของตัวพวกเขาเองให้ได้ ผ่านมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นร่วมกันของตัวละคร เพราะอย่างน้อยที่สุดมันก็ทำให้ตัวละครได้รู้ว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ลำพังบนโลกใบนี้ และในโมเมนต์ที่สำคัญที่สุดของเรื่อง ก็สามารถเรียกน้ำตาจากผมได้สำเร็จครับ ขณะที่เนื้อหาในเชิงการเมืองก็มีจุดที่น่าสนใจและน่าพูดถึงเช่นกัน โดยเส้นเรื่องนี้ถูกบอกเล่าผ่านตัวละครอย่างวาเลนติน่า ผู้ซึ่งมีแนวความคิดว่า “อุดมการณ์ที่ไร้ซึ่งอำนาจก็จะเป็นได้แค่ความคิดเห็น” นั่นจึงทำให้เธอพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ไม่เว้นแม้แต่วิธีการที่สกปรกอย่างการใช้พื้นที่สื่อในการปลุกปั่นความขัดแย้ง หรือการออกคำสั่งที่จะทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องเสียชีวิตเป็นจำนวนมากก็ตามครับ
การดำเนินเรื่องในภาพรวมของ Thunderbolts* เป็นไปอย่างสนุกสนานเพลิดเพลินครับ ฉากแอ็กชั่นของภาพยนตร์นั้นดูดีและสร้างผลกระทบทางอารมณ์ให้กับผู้ชมได้อย่างหนักหน่วง กล่าวคือการที่กลุ่มตัวละครหลักนั้นไม่ได้มีพลังพิเศษถึงขั้นเหนือมนุษย์ จึงทำให้พวกเขายังคงเจ็บได้ตายเป็น เมื่อผสมรวมงาน Production ที่เน้นการถ่ายทำจริงมากกว่าการใช้ CG จึงเอื้อให้ภาพยนตร์สามารถมอบความติดดินให้กับตัวละครได้มากขึ้น นอกจากนี้วายร้ายของภาพยนตร์อย่างเซนทรี่ ยังถูกออกแบบมาให้เป็นสุดยอดวายร้ายที่แทบไม่มีทางเอาชนะได้ ฉากการต่อสู้กันระหว่างเหล่าธันเดอร์โบลต์สกับเซนทรี่จึงกลายเป็นฉากแอ็กชั่นที่ดีที่สุดของภาพยนตร์อย่างไม่ต้องสงสัยครับ แม้ว่าผมจะรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ภาพยนตร์ไม่ได้เลือกให้องก์สุดท้ายของตัวเองเป็นภาพยนตร์แอ็กชั่นเต็มรูปแบบ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ภาพยนตร์เลือกนั้นทำให้ประเด็นของเรื่องแข็งแรงมากขึ้น ซึ่งก็เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมชอบ Thunderbolts เป็นอย่างมากเช่นกันครับ
นักแสดงทุกคนต่างทำหน้าที่ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยม โดดเด่นที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Florence Pugh ซึ่งสามารถก้าวออกมาจากร่มเงาของนาตาชา โรมานอฟฟ์ได้อย่างเต็มภาคภูมิ การแสดงอันยอดเยี่ยมของเธอทำให้ผู้ชมสามารถเข้าใจตัวละครอย่างเยเลน่าได้อย่างรอบด้าน ทั้งความเบื่อหน่ายในความไร้จุดหมายของตัวเอง, ความด้านชาจากการทำงานตามคำสั่ง, ความเจ็บปวดรวดร้าวที่ฝังลึก และความอ่อนโยนที่เธอมอบให้กับผู้อื่น ทุกมิติและอารมณ์ล้วนถูกถ่ายทอดออกมาอย่างครบถ้วน จนทำให้ผู้ชมรู้สึกหลงรักตัวละครจนถอนตัวไม่ขึ้น อีกคนที่ยอดเยี่ยมไม่แพ้กันก็คือ Lewis Pullman ในบทบ็อบ หากพิจารณาจากการออกแบบตัวละคร ซึ่งเต็มไปด้วยองค์ประกอบที่พร้อมชวนให้ผู้ชมรู้สึกรำคาญเขาได้ทุกเมื่อ แต่ด้วยการแสดงที่ละเอียดมากพอ ทำให้ตัวละครอย่างบ็อบนั้นมีเสน่ห์และน่าค้นหา อีกทั้งยังสามารถทำให้ผู้ชมรู้สึกเห็นอกเห็นใจเขาได้เมื่อถึงเวลาที่ต้องการครับ อีกหนึ่งคนที่น่าพูดถึงก็คือ David Harbour ในบทเรด การ์เดียน ซึ่งรับหน้าที่เป็นผงชูรสที่คอยเติมเสียงหัวเราะให้กับเรื่องราว ซึ่งเจ้าตัวก็ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดเท่าที่บทภาพยนตร์จะส่งได้ครับ แต่สิ่งที่ยอดเยี่ยมกว่าคือการสร้างโมเมนต์ดราม่าให้กับตัวละคร ผ่านความสัมพันธ์พ่อลูกของเยเลน่าและอเล็กซี่ ซึ่งเคมีของทั้ง David Harbour และ Florence Pugh สามารถมอบอ้อมกอดอันอบอุ่นให้กับผู้ชมได้จริงๆ ขณะที่ Sebastian Stan ในบทบัคกี้ บาร์นส์, Wyatt Russell ในบทจอห์น วอล์คเกอร์, Hannah John-Kamen ในบทโกสต์ และ Julia Louis-Dreyfus ในบทวาเลนติน่า ทุกคนต่างพาตัวละครของตัวเองไปอยู่ในจุดที่ควรอยู่ได้โดยไม่มีข้อขุ่นข้องหมองใจครับ
โดยสรุปแล้วภาพยนตร์เรื่อง ได้มอบช่วงเวลาที่ดีมากๆ ให้กับผมในโรงภาพยนตร์ครับ โดยตัวหนังมีไดนามิกระหว่างตัวละครที่ยอดเยี่ยม ซึ่งสามารถถ่ายทอดมวลอารมณ์อันหลากหลายของเรื่องราวได้อย่างครบถ้วน ทั้งฉากแอ็กชั่นที่ดี, ดราม่าที่สะเทือนอารมณ์ และมุกตลกแบบพอดีคำ รสชาติที่กลมกล่อมและสดใหม่ของ ทำให้มันเป็นภาพยนตร์จาก Marvel Cinematic Universe ที่ผมรู้สึกสนุกและตื่นเต้นมากที่สุดในรอบหลายปี โดยเฉพาะเมื่อมองจากประเด็นสำคัญของเรื่อง อันว่าด้วยความเจ็บปวด, บาดแผล และการเยียวยาความโดดเดี่ยว ซึ่งเป็นแก่นสารที่ทำให้ผู้ชมต้องย้อนกลับมาสำรวจจิตใจของตัวเองไม่ต่างจากตัวละครเลยครับ สุดท้ายนี้ภาพยนตร์เรื่อง Thunderbolts มาพร้อมกับฉาก Mid-Credit และฉาก Post-Credit ที่คุ้มค่าแก่การรอคอยทั้ง 2 ฉาก โดยเฉพาะกับฉาก Post-Credit ที่เป็นการกำหนดทิศทางครั้งสำคัญของแฟรนไชส์ ซึ่งการรวมตัวกันของกลุ่มธันเดอร์โบลต์ส ก็ทำให้ผมกลับมามีตัวละครให้เชียร์อีกครั้งใน Phase ต่อไปของ MCU ครับ
#ประเด็นตกผลึก ประเด็นตกผลึกจากภาพยนตร์เรื่อง Thunderbolts ที่ผมจะชวนทุกท่านมาคุยกันในวันนี้ก็คือ การเยียวยาความโดดเดี่ยวด้วยความรักและความเข้าใจ ไม่ต้องบอกก็รู้ครับว่าตัวละครทุกคนในกลุ่มธันเดอร์โบลต์สคือกลุ่มคนที่เต็มไปด้วยบาดแผลทางจิตใจ พยายามจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคมที่ตัวเองดำรงอยู่ และตามหาโอกาสในการไถ่บาปจากความผิดพลาดในอดีตของตัวเอง ทั้งเยเลน่า เบโลว่า ซึ่งยังคงจมปลักอยู่กับความโศกเศร้าของการสูญเสียพี่สาวของตัวเอง และไม่สามารถรับมือกับตราบาปในอดีตได้ นั่นจึงทำให้เธอกลายเป็นคนไร้จุดหมายในชีวิต ลมหายใจของเธอถูกขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายของภารกิจมากกว่าการยกระดับชีวิตของตัวเอง จนทำให้ทุกครั้งที่มีเวลาเหลือว่าง เธอจึงอุทิศร่างกายของตัวเองให้แก่แอลกอฮอล์ เพื่อหวังใช้ฤทธิ์ของมันขับกล่อมให้เธอนอนหลับ และหลงลืมรอยแผลของตัวเองได้แม้เพียงชั่วขณะก็ตาม ไม่ต่างกันกับบัคกี้ บาร์นส์ ซึ่งพยายามก้าวข้ามอดีตของตัวเองในฐานะวินเทอร์ โซลเยอร์ นั่นจึงทำให้เขาเลือกละวางความรุนแรงเอาไว้เบื้องหลัง และผันตัวมาเป็นนักการเมืองเพื่อใช้ระบบแก้ไขปัญหาอย่างสุจริต แต่อย่างที่ทราบกันดีครับว่า อดีตเป็นสิ่งที่ไม่สามารถลบเลือนได้ และไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ สุดท้ายโชคชะตาก็นำพาเขาให้กลับสู่วังวนของความรุนแรงอีกครั้ง หรือกระทั่งอดีตคู่ปรับของบัคกี้อย่างจอห์น วอล์คเกอร์ ก็กำลังเผชิญหน้ากับวิกฤตด้านตัวตนอย่างรุนแรง จากความล้มเหลวในฐานะกัปตันอเมริกาคนใหม่ ซึ่งเป็นตำแหน่งที่เต็มไปด้วยความคาดหวังจากรอบด้าน สิ่งที่เขาต้องการในปัจจุบันจึงไม่ใช่ตำแหน่งหรือยศถาบรรดาศักดิ์ หากแต่เป็นการได้รับการยอมรับและโอกาสที่ 2 ในการพิสูจน์ตัวเองครับ
เมื่อมองจากโครงสร้างและการเล่าเรื่องของภาพยนตร์แล้ว ภารกิจหลักของกลุ่มธันเดอร์โบลต์สจึงเป็นมากกว่าแค่การหยุดยั้งภัยคุกคามครั้งใหม่ แต่มันยังรวมถึงการเยียวยาจิตใจของตัวเองและคนรอบข้าง ผ่านการยอมรับและความเข้าใจกันอีกด้วยครับ โดยมีตัวละครอย่างบ็อบเป็นกุญแจสำคัญของเรื่องราว เนื่องจากบ็อบเองก็เป็นคนที่โดดเดี่ยวและถูกทิ้งขว้างไม่ต่างจากทุกตัวละครในเรื่อง การที่ตัวละครอย่างบ็อบถูกพัฒนาให้กลายเป็นวายร้ายอย่างเซนทรี่ ซึ่งมีภาพลักษณ์อันดำทะมึนน่าเกรงขาม ก็นับเป็นการสะท้อนถึงการถูกด้านมืดภายในจิตใจครอบงำอย่างชัดเจน ขณะที่พลังพิเศษของเซนทรี่คือการดูดกลืนผู้อื่นเข้าสู่ดินแดนห้วงว่าง พื้นที่ลึกลับอันเต็มไปด้วยความทรงจำแห่งความเจ็บปวดของผู้ที่ถูกดูดกลืนเข้าไป ซึ่งภาพยนตร์ได้ใช้ดินแดนแห่งนี้ในการบอกเล่าภูมิหลัง, ความระทมทุกข์ และความโศกเศร้าของทั้งบ็อบและตัวละครอื่นๆ ในกลุ่มธันเดอร์โบลต์ส ซึ่งผลลัพธ์จากการถูกทำร้ายด้วยความพลาดพลั้งในอดีตนั้นแสดงผลอย่างแตกต่างกัน สำหรับกลุ่มธันเดอร์โบลต์ส พวกเขากลายเป็นคนที่มองไม่เห็นคุณค่าในตัวเอง, โดดเดี่ยวเปลี่ยวเหงา, ไร้จุดมุ่งหมาย และถวิลหาการยอมรับจากสังคมรอบตัว ในขณะที่บ็อบเป็นอีกหนึ่งบทพิสูจน์ครับว่า ความอ้างว้างเดียวดายนั้นสามารถเปลี่ยนให้มนุษย์คนหนึ่งกลายเป็นอีกคนหนึ่งได้โดยสิ้นเชิง ซึ่งในมุมหนึ่งก็สะท้อนถึงปัญหาเรื่องอาชญากรรมในสังคม ที่เกิดจากปัญหาสุขภาพจิตที่ไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีได้ด้วยเช่นกัน
แม้ว่าการรวมตัวกันของเหล่าฮีโร่รองบ่อน จะไม่ได้เริ่มต้นจากอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่หรือความหมายปองในการเปลี่ยนโฉมของโลกใบนี้ แต่อย่างน้อยที่สุดภาพยนตร์ก็สามารถทำให้ผู้ชมสัมผัสได้ว่า ความโดดเดี่ยวอ้างว้างของพวกเขา ได้ถูกเยียวยารักษาผ่านมิตรภาพและความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นในระหว่างทาง เนื่องจากทุกคนนั้นสามารถเข้าใจและรับรู้ถึงความบอบช้ำของกันและกันได้โดยไม่ต้องอธิบายให้มากความ พร้อมหยิบยื่นโอกาสในการไถ่บาปให้กับผู้อื่นเพื่อกู้คืนความเป็นมนุษย์ของตัวเองกลับมาอีกครั้ง และหากพิจารณาจากสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงองก์สุดท้ายของเรื่อง หนึ่งปัจจัยที่สำคัญไม่แพ้กันก็คือการเผชิญหน้ากับรอยแผลในอดีตของตัวเอง ยอมรับ และให้อภัยกับความผิดพลาดที่เคยก่อเอาไว้ พร้อมเปิดรับความจริงที่ว่าไม่มีใครในโลกนี้ที่สมบูรณ์แบบ เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นมนุษย์ ทุกคนล้วนเคยผ่านความผิดพลาดและเจ็บปวดด้วยกันทั้งสิ้น ซึ่งความเจ็บปวดไม่ควรเป็นสิ่งที่ถูกกดทับเอาไว้ภายใน หากแต่เราสามารถเรียกร้องขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นได้ และโลกใบนี้จะยังมีใครสักคนที่รักและห่วงใยเราเสมอ เมื่อบรรลุถึงสัจธรรมดังกล่าวแล้ว ตัวละครทุกคนในกลุ่มธันเดอร์โบลต์ส ก็ล้วนได้เติบโตและกลายเป็นคนที่ดีขึ้นกว่าเดิมจากภารกิจที่พวกเขาได้ทำร่วมกันนั่นเอง ฝากไว้ให้คิดกันนะครับ
Get The Goat (2021) คู่ยุ่งตะลุยหาแพะ
The Trough (2018) แผนสังหารเกมอำมหิต